หลักการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์โปรไบโอติก 10 ประการ
หลักการเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์โปรไบโอติก 10 ประการ และ ข้อแตกต่าง 7 ประการ
ข้อพิจารณาในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์โปรไบโอติก มีดังต่อไปนี้
- ประกอบไปด้วยเชื้ออะไรบ้าง
โปรไบโอติกส่วนใหญ่ที่มีหลักฐานการวิจัยทางคลินิก มักจะมาจากเชื้อแบคทีเรียในตระกูล Lactococcus ตระกูล Lactobacillus และ ตระกูล Bifidobacterium - มีเชื้อกี่ชนิด และเชื้อแต่ละตัว มีหลักฐานการวิจัยทางการแพทย์ในด้านอะไรบ้าง
หลังจากที่พิจารณาตระกูลของเชื้อแล้ว ก็ควรดูในระดับสปีชีส์ พบว่า เชื้อในตระกูลเดียวกัน แต่คนละสปีชีส์ ก็จะมีบทบาทและหน้าที่ที่แตกต่างกัน เช่น บางตัวจะออกฤทธิ์โดยการไปแย่งที่กับเชื้อโรคจับกับผนังลำไส้ โปรไบโอติกบางตัวจะสร้างสารต้านเชื้อโรค ที่เรียกว่า bacterocin มากำจัดเชื้อโรค บางตัวจะสามารถสร้าง วิตามินและเอ็นไซม์ที่จำเป็นต่างๆต่อร่างกาย เช่น วิตามิน B, Folic acid, growth factor, ..เป็นต้น นอกจากนี้ ยังพบว่า การมีหลายๆเชื้อ เช่น มากกว่า 2 เชื้อขึ้นไป จะให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า แต่ไม่ควรเกิน 10 เชื้อ เพราะพบว่า จะแข่งขันกันเอง ประสิทธิภาพลดลง - มี ใยอาหาร หรือ พรีไบโอติก หรือไม่
พบว่า การมีพรีไบโอติกหรือใยอาหาร จะช่วยเสริมฤทธิ์กับโปรไบโอติก ทำให้เชื้อเจริญเติบโตที่ลำไส้ได้รวดเร็วขึ้น - ผลิตจากบริษัทหรือโรงงานมาตรฐานหรือไม่
ควรผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน ระดับ GMP และ ISO 9001 - ได้รับการรับรองจาก อ.ย.
ควรผ่านการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญพิจารณาถึงคุณภาพและความปลอดภัย - ได้รับการรับรองให้ใช้ในโรงเรียนแพทย์และคลินิกชั้นนำหรือไม่
โรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลชั้นนำ จะมีขั้นตอนในการพิจารณาเลือกเวชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพและความปลอดภัยต่อผู้ป่วย โดยส่วนใหญ่มักจะมีขั้นตอนอย่างน้อย 3 ขั้นตอน ตั้งแต่ระดับอนุกรรมการผู้เชี่ยวชาญ จนถึง คณะกรรมการยาและการบำบัด - อุณหภูมิในการเก็บรักษา
พบว่า จะสัมพันธ์กับเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต พบว่า ถ้าใช้มาตรฐานการผลิตที่สูง ก็จะสามารถเก็บได้จนถึงที่อุณหภูมิห้อง โดยที่เชื้อยังมีชีวิตอยู่ - ปริมาณเชื้อ
ควรมีปริมานเชื้ออย่างน้อย หนึ่งหมื่นล้าน CFU ขึ้นไป - รสชาติ
มีรสชาติที่ดี พบว่า จะทำให้สะดวกเวลาที่อยากจะรับประทาน โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ - ความสะดวกในการรับประทาน
เช่น สามารถโรยบนอาหาร ไอศรีม ขนมปัง หรือ ผสมร่วมกับเครื่องดื่มเย็นได้ทุกชนิด เช่น น้ำส้ม นม น้ำผลไม้ต่างๆ เป็นต้น
ข้อแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกของบริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา กับ ผลิตภัณฑ์อื่นๆในท้องตลาด
- สูตรตำรับ (Formulation) ผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกของบริษัท อินเตอร์ฟาร์มา ซึ่งเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ไบโอเทคโนโลยี เป็น สูตรตำรับที่เรียกว่า Total Synbiotic ซึ่งเป็นวิวัฒนาการขั้นสูงสุดของโปรไบโอติกในปัจจุบัน โดยวิวัฒนาการของการพัฒนาผลิตภัณฑ์โปรไบโอติก จะเริ่มจาก
การพัฒนาขั้นที่ 1 ใช้เชื้อเพียงตัวเดียว (Monostrain) ซึ่งจากการวิจัยพบว่า การมี เชื้อตัวเดียว จะยังไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดี เพราะพบว่า กลไกการออกฤทธิ์ของโปรไบโอติกแต่ละตัว จะแตกต่างกัน บางตัวจะออกฤทธิ์โดยการไปแย่งที่กับเชื้อโรคจับกับผนังลำไส้ โปรไบโอติกบางตัวจะสร้างสารต้านเชื้อโรค ที่เรียกว่า bacterocin มากำจัดเชื้อโรค บางตัวจะสามารถสร้าง วิตามินและเอ็นไซม์ที่จำเป็นต่างๆต่อร่างกาย เช่น วิตามิน B, Folic acid, growth factor, ..เป็นต้น
การพัฒนาขั้นที่ 2 เป็นการพัฒนาโดยใช้เชื้อหลายๆสายพันธุ์ (Multi-Strain หรือที่เรียกว่า Probiotic Mixture) พบว่าควรมีมากกว่า 2 ตัวขึ้นไป และมีจำนวนที่เหมาะสม ซึ่งขึ้นกับการวิจัยว่า เชื้อแต่ละตัวที่มารวมกันจะช่วยเสริมกันในเรื่องอะไรบ้าง
การพัฒนาขั้นที่ 3 เป็นสูตร Synbiotic (Probiotic + Prebiotic) เป็นการใช้โปรไบโอติก Probiotic ร่วมกับ พรีไบโอติก Prebiotic หรือ ใยอาหาร ซึ่งเป็นอาหารของเชื้อ พบว่า การมี พรีไบโอติก จะช่วยให้เชื้อสามารถเจริญเติบโตในลำไส้ได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น
การพัฒนาขั้นสูงสุด Total Synbiotic (Multi-Probiotic Strain + Multi-Prebiotic) เป็นการใช้โปรไบโอติกหลายๆสายพันธุ์ ร่วมกับ พรีไบโอติกหลายชนิด ซึ่งเป็นสูตรตำรับของผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกของบริษัทอินเตอร์ฟาร์มา อาทิเช่น TS6, Probac 7 และ Probac 10 Plus - ตระกูลและสายพันธุ์ของโปรไบโอติก (Genus & Specie) ผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกของ บริษัทอินเตอร์ ฟาร์มา เป็น โปรไบโอติกจาก กลุ่มหรือชื่อตระกูล Lactobacillus (Genus), ตระกูล Bifidobacterium( Genus) , ตระกูล Lactococcus ซึ่งเป็นกลุ่มของเชื้อที่พบตามธรรมชาติในลำไส้ของร่างกายคนปกติ จากการวิจัย พบว่า ทั้งสามตระกูล มีส่วนสำคัญทำให้ร่างกายของมนุษย์ มีสุขภาพแข็งแรง โดยการสร้างสมดุลย์ของระบบทางเดินอาหาร (ซึ่งระบบทางเดินอาหารเปรียบเสมือน Second Brain หรือสมองส่วนที่สอง) และแบคทีเรียทั้งสามกลุ่มจะมีหลักฐานการวิจัยมากที่สุด โดยในแต่ละตระกูล ก็จะมีหลายๆสายพันธุ์ หรือที่เรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า สปีชี่ ซึ่งสายพันธุ์ที่เลือกใช้ ในผลิตภัณฑ์ของอินเตอร์ ฟาร์มา ใช้มาตรฐานสากล คือ GRAS (Generally regarded as safe) ตัวอย่าง เช่น TS6 และ Probac 7 มาจากโปรไบโอติก 3 ตระกูล 6 สายพันธุ์ ในขณะที่ Probac 10 Plus มาจากเชื้อโปรไบโอติก 4 ตระกูล 10 สายพันธุ์ ซึ่งเชื้อทั้ง 6 ตัว จะครอบคลุมในเกือบทุกระบบ มีบทบาททางการแพทย์ทั้งการรักษาและป้องกันในหลายๆโรค
- คุณภาพและมาตรฐานการผลิต (Quality and Manufacturing Standard) ควรผลิตจากโรงงานมาตรฐานระดับ GMP และ ISO 9001 ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทอินเตอร์ฟาร์มา ผลิตจากโรงงานมาตรฐานระดับ GMP และ ISO 9001
- อุณหภูมิในการเก็บรักษา (Storage Temperature) ผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกจากบริษัทอินเตอร์ฟาร์มา ผลิตด้วยไบโอเทคโนโลยีชั้นสูง ทำให้สามารถเก็บได้ที่อุณหภูมิห้อง หรือ ถึง 30 องศาเซลเซียส ซึ่งพบว่า ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดหลายตัว ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ต่ำ จึงต้องเก็บในที่เย็น พบว่า เชื้อจะตายไปจำนวนมาก ในระหว่างการขนส่ง หรือ แม้กระทั่งการเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องทั่วไป ทำให้ต้องเก็บในที่เย็นตลอดเวลาหรือต้องแช่น้ำแข็ง ในหลายๆกรณี พบว่า ผลิตภัณฑ์ได้เสื่อมสภาพไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อไม่เก็บในที่เย็น
- มาตรฐานการรับรอง (Approval Standard) ผลิตภัณฑ์โปรไบโอติก ของบริษัทอินเตอร์ ฟาร์มา ได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยา เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งยืนยันถึงความปลอดภัย และได้รับการรับรองให้ใช้ใน โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ชั้นนำ โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำและศูนย์สุขภาพชั้นนำระดับโลก
- ปริมาณเชื้อที่เพียงพอ (Optimal Probiotic Amount) ผลิตภัณฑ์ Probac ของ บริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา อยู่ในรูปแบบผง โดยในหนึ่งซอง มีปริมาณ 2 กรัม หรือ 2,000 มิลลิกรัม เทียบเท่ากับ แคปซุล (ขนาด 250 มิลลิกรัม ) ถึง 8 แคปซูล มีปริมาณเชื้อขั้นต่ำ อย่างน้อย 50,000 ล้าน CFU ต่อซอง
- รสชาติอร่อย (Good Taste) สามารถฉีกซอง เทเข้าปาก แล้วเคี้ยวเหมือนทานขนม (มีรายงานการวิจัยในการช่วยป้องกันฟันผุ โดยการต้านเชื้อโรคที่ทำให้ฟันผู) หรือ จะโรยบนอาหาร เช่น ข้าว ขนมปัง ไอศรีม หรือ ทานร่วมกับเครื่องดื่มเย็นได้ทุกชนิด เช่น น้ำส้ม นม น้ำผลไม้ต่างๆ เป็นต้น